1. Almost Famous
Almost Famous เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าผ่านสายตาของ วิลเลี่ยม มิลเลอร์ แทบจะทั้งเรื่อง เขาเป็นคนที่เชื่อสนิทใจว่า ดนตรีร็อคคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา รวมไปถึงชีวิตของผู้คนในวง และคนที่อยู่รอบข้างด้วย โครว์กล่าวว่า "นั่นคือโครงสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องราวของนักข่าว ที่พยายามจะใช้ความปรารถนาของเขา ที่จะเขียนเรื่องราวดีๆ ในขณะที่ยังคงเป็นเพื่อนกับผู้คนในวงดนตรี ผู้ที่เขารู้สึกว่ายอดเยี่ยมกว่าคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก เขาอยากให้คนพวกนั้นชอบเขา และนั่นก็คือการทดสอบ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหาที่ที่เป็นของคุณในโลกใบนี้... และสิ่งที่โลกใบนี้จะเป็น ถ้าคุณสามารถผ่านเข้าไปในวงจรของดนตรีร็อคในปี 1973 ได้"
2. Coyote Ugly
เมื่อ ไวโอเลต แซนฟอร์ด (ไพเพอร์ เพราโบ) หญิงสาววัย 21 ตัดสินใจลาจาก บิลล์ (จอห์น กู๊ดแมน) พ่อที่คอยปกป้องเธอดั่งไข่ในหิน และบ้านในย่านชานเมือง มาอยู่บนห้องพักบนชั้นที่ 5 แห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน เพื่อตามล่าหาฝันของตัวเอง ที่อยากเป็นนักแต่งเพลง ทันใดนั้น เธอก็พบว่าตัวเองเกิดความรู้สึกสิ้นหวัง และหมดเนื้อหมดตัว เธอใช้ชีวิตอย่างขยันขันแข็ง แต่งและทำเพลงของเธอเอง ก่อนจะนำไปเสนอตามค่ายเพลง และโปรดิวเซอร์อิสระทุกคนในเมือง ขณะเดียวกันนั้น ก็ออกหางานเพื่อหาเงิน มาเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันอีกด้วย ทำแม้กระทั่งขึ้นเวทีแสดงในคลับแห่งหนึ่ง เพียงเพื่อจะพบว่า ความกลัวเวทีที่มักจะเกิดขึ้นกับเธออยู่เสมอในอดีต ยังคงทำให้เธอเกิดอาการตื่นเวที เสียจนไม่สามารถเล่นเพลงของตัวเองต่อหน้าคนดูได้
ขณะยืนแจกเทปตัวเองอยู่ริมทางเท้า ไวโอเลตคิดว่าเธอได้พบคนที่เธอคิดว่าเป็นผู้จัดการคลับ ที่เกิดสนใจในบทเพลงของเธอขึ้นมา แต่คนๆ นั้นกลับกลายเป็นหนุ่มหล่อ ซึ่งทำงานเป็นพ่อครัวที่ชื่อว่า เควิน (อดัม การ์เซีย) หนุ่มออสซี่ในนิวยอร์ค ที่มีความเข้าอกเข้าใจเธอ เควินเชื่อในตัวไวโอเลต คอยให้กำลังใจเธอ และยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอในสารพัดเรื่อง
หลังจากถูกปฏิเสธมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ไวโอเลตเริ่มหันมาเอาจริงเอาจัง กับเป้าหมายสุดท้ายของเธอ เธอได้งานประจำที่ โคโยตี้ อักลี่ ไนต์คลับแห่งใหม่กลายเป็นร้านที่มาแรงที่สุดของเมือง โดยจุดเด่นอยู่ที่ทีมพนักงานสาวสวยสุดเซ็กซี่ และกล้าได้กล้าเสีย มีเจ้าของเป็นผู้หญิงหมัดหนักที่ชื่อว่า ลิล (มาเรีย เบลโล) เธอเฉลียวฉลาดและเข้าอกเข้าใจคน แต่ปกครองลูกน้องสาวๆ ด้วยความเฉียบขาด ในบรรดาลูกน้องของ ลิล ก็รวมถึง แคมมี่ (อิซาเบลล่า ไมโก) สาวจอมเจ้าชู้, เรเชล (บริดเจต มอยนาแฮน) สาวหัวแข็ง และ โซ (ไทร่า แบงค์ส) สาวที่มักจะได้รับทิปมากกว่าเพื่อน กลุ่มสาวโคโยตี้ คือชื่อที่บรรดาลูกค้าและสื่อมวลชนทั้งหลาย ตั้งให้กับพวกเธอด้วยความเสน่หา ลีลาสุดโลดโผน และมีสีสันของพวกเธอ ทำให้ร้าน โคโยตี้ อักลี่ เป็นแหล่งหย่อนใจชั้นดีให้กับหนุ่มๆ ที่ต้องหาความบันเทิง
3. โหมโรง (คงไม่มีใครไม่รู้ัจัก)
เหตุการณ์เริ่มขึ้นราวพุทธศักราช 2429 ในประเทศสยาม ศร เด็กหนุ่มที่มีความผูกพันกับดนตรีไทยมาตั้งแต่เกิด ได้รับการถ่ายทอดฝีมือในการตีระนาดเอกจาก ครูสิน ผู้ซึ่งเป็นทั้งบิดาและครูสอนดนตรีไทย ผู้มีปมในชีวิต หลังการสูญเสียพี่ชายของศรผู้ซึ่งถูกนักเลงระนาดคู่ปรับฆ่า เป็นเหตุให้ครูสินตัดสินใจหยุดการสอนดนตรีไทยลง ด้วยคำเตือนสติจากหลวงพ่อ ทำให้ครูสินกลับมาสอนดนตรีไทยอีกครั้ง เพื่อไม่เป็นการปิดกั้นโอกาสและการพัฒนาพรสวรรค์ในการตีระนาดของศร ศรจึงได้รับการถ่ายทอดฝีมือตีระนาดจากบิดา และมีทิว เพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือมาตลอดเวลา
ศร กลายเป็นดาวเด่นในเชิงระนาดเมื่อก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม ฝีมือของศรยากหาใครทัดเทียมในอัมพวา หลังจากชนะประชันครั้งแล้วครั้งเล่า ศรจึงเกิดความลำพองในฝีมือของตนเอง จนเมื่อศรเดินทางเข้ามายังบางกอก เขาพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกต่อขุนอิน ผู้มีฝีมือการเล่นระนาดในระดับสูง และมีทางระนาดที่ดุดัน ศรกลายเป็นคนที่สูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เขาก็กลับมามุมานะฝึกปรือฝีมืออีกครั้ง และคิดค้นทางระนาดแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร จนในที่สุด ศรก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงในพระราชวัง เขาได้รับการอุปถัมป์ให้เป็นนักดนตรีประจำราชสำนัก และได้พบกับ แม่โชติ สตรีผู้สูงศักดิ์ที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตของศรในเวลาต่อมา
ในที่สุด หลังจากผ่านการบ่มเพาะทั้งฝีมือและจิตใจมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ศรก็สามารถมีชัยเหนือขุนอินได้สำเร็จ
ล่วงเข้าสู่วัยชราของศร เขากลายเป็นครูดนตรีอาวุโสที่มีลูกศิษย์มากมาย ขณะที่บ้านเมืองกำลังเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก รัฐบาลมีนโยบายปรับปรุงประเทศให้มีความทันสมัย และออกระเบียบควบคุมศิลปะแขนงต่างๆ รวมทั้งดนตรีไทย โดยมี พันโทวีระ นายทหารหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลนโยบายดังกล่าว และต้องมาเผชิญหน้ากับ ครูศร ผู้ผ่านการแพ้-ชนะมานับครั้งไม่ถ้วนในวัยหนุ่ม และกำลังเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตในวันที่ดนตรีไทยถูกคุกคาม
4. Sweet and Lowdown
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอชีวประวัติของ เอ็มเมทท์ เรย์ (Emmet Ray) นักกีตาร์แจ๊ซผู้เป็นตำนานแห่งยุค 30 แม้ว่า เรย์จะเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบ, สุรุ่ยสุร่าย และขี้เมา แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่าเขาคือ นักกีต้าร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกคนหนึ่ง
เอ็มเมทท์ เรย์ (รับบทโดย ฌอน เพนน์) เป็นอัจฉริยะทางดนตรี ผู้ซึ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุคที่ดนตรีแนวสวิงกำลังรุ่ง แต่ชีวิตกลับไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ อย่างไรก็ตาม เขายังคงยืนอยู่ภายใต้เงา ของฮีโร่ตลอดกาลของเขา จังโก้ ไรน์ฮาร์ท (ไมเคิ้ล สปาร์ค) มือกีตาร์ชาวยิปซี
เอ็มเมทท์ เรย์ เป็นนักเดินทาง การเดินทางของเขา พาเขาเดินทางจากนิว เจอร์ซีย์ ไปสู่ชิคาโก้, ดิทรอยท์ และเมืองแห่งแสงไฟสว่างไสวที่ชื่อ ฮอลลีวู้ด นอกจากนี้ยังข้ามฟากไปยังทวีปยุโรปอีกด้วย
ศูนย์กลางของเรื่องราวของ เอ็มเมทท์ เรย์ อยู่ที่ความสัมพันธ์ที่มีกับหญิงสาวที่มีชื่อว่า แฮ็ทตี้ (ซาแมนธา มอร์ตัน) และ บลางเช่ (อูมา เธอร์แมน) ผู้หญิงที่เป็นตัวปัญหาพอๆ กับสามีของเธอ
5. The Legend of 1900
The Legend of 1900 เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องผ่านช่วงเวลา ตั้งแต่วันแรกของศตวรรษใหม่ ไปจนถึงกลางทศวรรษที่ 40 และยังบอกเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ในอเมริกาช่วงเวลานี้อีกหลายเหตุการณ์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการอพยพสู่ประเทศอเมริกาของชาวต่างชาติ การถือกำเนิดขึ้น และ ยุคเฟื่องฟูของดนตรีแจ็ซ จุดเริ่มต้นของการเดินทางด้วยเรือเดินสมุทร ยุคเฟื่องฟูของธุรกิจบันเทิง ไปจนถึงการยกระดับขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของโลก แห่งวัฒนธรรมร่วมสมัยของเมืองแมนฮัตตัน
6. Crossroads
Crossroads ในหนังเรื่องนี้หมายถึงสี่แยกเล็กๆแห่งหนึ่งในมิสซิสซิปปี้ ที่เชื่อกันว่าโรเบิร์ต จอห์นสันได้มาพบกับตัวแทนแห่งซาตาน และได้ขายวิญญาณให้กับซาตานไปเพื่อแลกกับความความเป็นเลิศทางดนตรี (หมายเหตุ: โรเบิร์ต จอห์นสันเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก...สามสิบต้นๆมั้ง ผมเดาเอา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเพราะได้ขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้ว พอประสบความสำเร็จแล้วจึงต้องให้วิญญาณกับซาตานไป ประมาณนั้นครับ) ซึ่งในหนัง Crossroads นี่ พระเอกราล์์ฟ มัคชิโอก็เดินทางมาตามหาเพลงที่หายไป จนมาถึงสี่แยกที่ว่านี่เหมือนกัน
7. Amadeus (คงไม่มีใครไม่รู้จัก)
หนังเล่าเรื่องผ่านสายตาของคู่แข่งของโมสาร์ท ชื่อว่า Antonio Salieri
ผ่านความชื่นชม แต่ริษยาในตัวโมสาร์ท
บรรยายความไพเราะในดนตรีของโมสาร์ทด้วยความสุนทรีย์
(ใครเคยเรียนสุนทรียศาสตร์ อาจจะเปรียบได้กับการชมงานศิลปะสักชิ้นนึงแล้วรู้สึกว่า มันงดงามเพียงใด...)
ซาเลียรี่คิดว่า มันไม่ยุติธรรม ที่พระเจ้าไม่ให้สิ่งนี้แก่เขา...
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายอมทำทุกอย่าง เพื่อให้กลายเป็นคีตกวีเอกที่มีชื่อเสียง และยิ่งใหญ่กว่าโมสาร์ทให้ได้...
8. The pianist
นักเปียโน วลาดิสลอว์ ซพิลแมน (เอเดรียน โบรดี้) มีงานเล่นเพลงที่สถานีวิทยุ ในกรุงวอร์ซอว์ตามปกติ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่พวกทหารนาซี จะบุกเข้ามาโปแลนด์หลายสัปดาห์แล้ว เขาต้องเดินข้ามศพคน และซากม้าตายจำนวนมาก กว่าจะไปถึงสถานีวิทยุ จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเล่นเพลงของโชแปงอยู่นั้น ห่าระเบิดของฝ่ายศัตรู ก็ถล่มลงมาในเมืองเสียหายยับเยิน หลายวันต่อมา วอร์ซอว์ตกเป็นของนาซี แม้ว่าจะรู้ดี ถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาภายหลังจากนี้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย เมื่ออังกฤษกับฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมัน
ทหารนาซีสั่งให้ชาวยิวจำนวน 360,000 คน ในกรุงวอร์ซอว์ ต้องสวมปลอกแขนระบุเชื้อชาติ และย้ายออกจากบ้าน ไปอยู่อย่างแออัดในเขตพื้นที่อันจำกัด ซพิลแมนก็ยังคงเชื่อว่า เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ตราบเท่าที่ปฏิบัติตามกฏ และมองโลกในแง่ดีต่อไป เขาได้ใบประกาศนียบัตร รับรองการทำงานเป็นนักเปียโน ในร้านอาหารเฉพาะชาวยิว และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนด้วยคำพูดว่า “ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ”
ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1942 ครอบครัวของเขา ถูกส่งตัวขึ้นรถไฟไปยังค่ายกักกัน แต่เขาได้รับความช่วยเหลือช่วงนาทีสุดท้าย ให้อยู่ในกรุงวอร์ซอว์ต่อไป จากเพื่อนคนหนึ่งประจำกรมตำรวจ หลังจากนั้น ซพิลแมนก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในเมืองที่กำลังจะพังพินาศ ด้วยน้ำมือสงคราม ไม่มีอะไรจะกิน และป่วยเป็นโรคสารพัด เป็นเวลานานที่เขาต้องอาศัยอย่างแร้งแค้น อยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่ง ก่อนต่อมาจะถูกค้นพบ โดยนายทหารเยอรมัน ร้อยเอก วิล (โธมัส เครทชมานน์) ผู้ยื่นข้อเสนอว่าจะนำอาหารมาให้ หากเขายอมเล่นเปียโนให้ฟังเป็นการตอบแทน...
9. Copying Beethoven
แอนนา โฮลท์ซ (ไดแอน ครูเกอร์) นักประพันธ์เพลงสาววัย 23 ปี ผู้เรียบง่ายแต่มีความใฝ่ฝันอันสูงส่ง กำลังค้นหาแรงบันดาลใจ และความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน ในเมืองหลวงทางด้านดนตรีของโลกนั่นคือ เวียนนา เพราะเธอเป็นนักเรียนของโรงเรียนดนตรี จึงได้รับการแนะนำให้ทำงานกับผู้พิมพ์โน้ตเพลงมากประ สบการณ์ และด้วยโชคชะตา ทำให้เธอได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟ่น (เอ็ด แฮริส) ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคที่ยังมีชีวิตอยู่
เบโธเฟ่นผู้เคลือบแคลง ได้ท้าทายแอนนาให้แต่งเพลงสดๆ ขึ้นมา แอนนาจึงได้แสดงความสามารถ และความเข้าใจในดนตรีของเธอ ให้เบโธเฟ่นได้เห็น เขายอมรับเธอเป็นเป็นก็อปปี้ยิสต์ของเขา แล้วความสัมพันธ์อันแปลกประหลาด ที่ทำให้ชีวิตของทั้งคู่ต้องแปรเปลี่ยนไปก็เริ่มขึ้น
10. The sound of music (อันนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับดนตรีโดยตรง แต่ชอบ เพลงเพราะมาก เลยแนะนำให้ดู)
เป็นเรื่องของแม่ชีคนหนึ่งที่ชื่อว่า มาเรีย ซึ่งมีนิสัยค่อนข้างซุกซนและชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ
เพียงแต่ว่า การร้องเพลงมันขัดกับกฎของสำนักชี เธอจึงถูกทางอารามส่งให้ไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงลูก 7 คน ของกัปตันเรือ
เกโอ ฟอนแทร็ป ซึ่งกัปตันผู้นึ้หลังจากเสียภรรยาไปเขาก็ควบคุมลูก ๆ เหมือนเป็นกะลาสีเรือ มาเรียผู้รักในเสียงดนตรีจึง
รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องนำเสียงเพลงกลับมาที่บ้านนี้อีกครั้ง